บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก เมษายน, 2015

APCO กับการแก้ไขปัญหาเชื้อ HIV

รูปภาพ
APCO กับการแก้ไขปัญหาเชื้อ HIV 1. ศ.ดร. วัชระ กสิณฤกษ์ ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น APCO Chair Professor ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ นพ. นพพร พรพัฒนพรพันธุ์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่, รศ.ดร. ภญ. อำไพ ปั้นทอง, ดร. กรรณิการ์ เรือนจันทร์, คุณศิริทิพย์ วิริยะจิตรา และ ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ได้ทำการวิจัยในโครงการ “การศึกษาผลของผลิตภัณฑ์ Operation BIM ต่อการกระตุ้นการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 Lymphocytes ในผู้ติดเชื้อ HIV – Study of Operation BIM Products on the Increase of CD4 Lymphocytes in HIV Infected Persons” ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 จนถึง 31 ตุลาคม 2557 สรุปผลได้ว่า CD4 Lymphocytesในผู้ติดเชื้อ เพิ่มขึ้นหลังจากกิน 4 capsules/วัน ติดต่อกันนาน 60 วัน และ ไม่มีผลต่อเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง การทำงานของตับ ไต และผู้ป่วยมีสุขภาพดีขึ้นทุกราย APCO จึงให้ผู้ติดเชื้อที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 27 ราย ได้รับผลิตภัณฑ์ฟรี เพื่อดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องต่อไป 2. APCO ได้ให้ผลิตภัณฑ์ Operation BIM แก่เด็กผู้ติดเชื้อ HIV ที่ อำเภอ สารภี และ อำเภอดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่

ทำความรู้จัก “พยาธิสตรองจิลอยด์” อันตรายที่คร่าชีวิต "โค้ชแต๊ก"

รูปภาพ
ทำความรู้จัก “พยาธิสตรองจิลอยด์” อันตรายที่คร่าชีวิต "โค้ชแต๊ก" หลังจาก “โค้ชแต๊ก” อรรถพล ปุษปาคม อดีตนักเตะทีมชาติไทยและการท่าเรือ วัย 52 ปี ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เฮดโค้ชให้แก่เพื่อนตำรวจ ทีมในศึกดิวิชั่น 1 ได้เสียชีวิต จากอาการติดเชื้อในกระแสเลือดและปอดจากพยาธิที่ชื่อ “สตรองจีลอยด์” วันนี้เราจะพามารู้จักกับพยาธิตัวนี้กัน แพทย์หญิงวีรวรรณ ลุวีระ อาจารย์ประจำคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการปรากฏการณ์ข่าวจริง สถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ เกี่ยวกับ โรคพยาธิสตรองจิลอยด์ (Strongyloidiasis) ซึ่งพยาธิชนิดนี้ เป็นพยาธิตัวกลม จัดอยู่กลุ่มพยาธิที่อาศัยอยู่ในลำไส้ โดยจะไชเข้าไปทางผิวหนัง ซึ่งทุกคนสามารถเป็นได้ แต่ความรุนแรงของโรคมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับบุคคล อาการของโรค “พยาธิสตรองจิลอยด์” เมื่อพยาธิไชเข้าไปในตัวแล้ว ประมาณไม่เกิดอาทิตย์ จะไปอยู่ที่ปอด ซึ่งในช่วงนี้อาจทำให้เกิดอาการไอ และประมาณ 2 สัปดาห์ พยาธิจะลงไปตามทางเดินอาหาร ผ่านทางเสมหะ และเจริญเป็นตัวเต็มวัยที่ลำไส้ อาจทำให้เกิดอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย , ปวดม้วนท้อง และประมาณ 1 เ

คำถามที่ต้องการคำตอบ : ใช้ชีวิตอยู่กับเชื้อเอชไอวี อย่างไรดี???

รูปภาพ
คำถามที่ต้องการคำตอบ : ใช้ชีวิตอยู่กับเชื้อเอชไอวี อย่างไรดี??? 1. จะต้องทำอย่างไรที่บ้าน 2. จะมีเพศสัมพันธ็ได้ไหม 3. จะมีบุตรได้ไหม 4. จะเป็นอย่างไรถ้าฉันฉีดยาเสพติด 5. จะเดินทางไปต่างประเทศได้ไหม “ฉันกับสามีต่างก็มีเชื้อเอชไอวี เขาตรวจพบเชื้อก่อน แล้วฉันจึงได้ไปตรวจ เราทั้งสองคนตกใจมาก เราไม่เคยคิดว่าเราเป็นผู้ที่มีความเสี่ยง ตอนแรกฉันโกรธเขามาก แต่แล้วก็มาคิดว่าอาจเป็นฉันก็ได้ที่เป็นผู้แพร่เชื้อไปให้เขา เราไม่มีวันรู้ว่าใครเป็นผู้แพร่เชื้อให้ใคร และตอนนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือการที่เราใช้ชีวิตให้มีความสุขและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เราไปรับข้อมูลที่สภาโรคเอดส์ (เอดส์เคาน์ซิล, AIDS Council) แล้วพบหมอที่เราไว้วางใจ เราเรียนรู้ทุกๆวันในการใช้ชีวิตอยู่กับเชื้อเอชไอวี” 1. จะต้องทำอย่างไรที่บ้าน คุณอาจวิตกกังวลว่าคุณสามารถแพร่เชื้อเอชไอวีไปสู่คนอื่นๆที่อาศัยอยู่ในบ้าน โดยเฉพาะเด็กๆในบ้าน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ตกอยู่ในความเสี่ยงของการติดเชื้อเพียงเพราะอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกับคุณ เชื้อเอชไอวีไม่ได้แพร่ไปโดยการสัมผัสระหว่างผู้ที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน การจูบ การกอด ก

เอดส์...เรื่องที่ควรรู้

รูปภาพ
เชื้อเอดส์เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันอย่างไร ? 1. เชื้อไวรัส HIV เมื่อเข้าสู่ร่างกายคนเราจะไปเกาะที่ผิวเปลือกนอกของเซลเม็ดเลือดขาว ที่เรียกว่า T-lymphocytes (CD4) 2. หลังจากนั้นเชื้อจะแทรกตัวอยู่ในเม็ดเลือดขาว และจะใช้เอ็นไซม์พิเศษ เปลี่ยนแปลงยีนของมันให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยีนในเม็ดเลือดขาวของคน 3. จากนั้นมันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มันแฝงอยู่ 4. ต่อมาจำนวนไวรัสเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มากจนทำให้เม็ดเลือดขาวที่มันอาศัยอยู่นั้น ถูกทำลายไป และ ไวรัสจะหลุดออกมา 5. จำนวนไวรัสที่หลุดออกมาก็จะไปโจมตี เซลล์เม็ดเลือดขาวอื่น ๆ อีกต่อไปโดยใช้ขบวนการเดียวกัน จนเม็ดเลือดในร่างกายของคนเราถูกทำลายลดลงเหลือน้อยจนถึงจุดวิกฤติไม่สามารถ ป้องกันร่างกาย ได ้ ทำให้ติดเชื้อโรคง่ายเกิดโรคซ้ำซ้อนและ กลายเป็นเอดส์ในที่สุด เชื้อไวรัส HIV แตกต่างจากไวรัสอื่น ๆ อย่างไรบ้าง ? 1. เชื้อไวรัส HIV สามารถทำลายระบบภูมิต้านทานของมนุษย์โดยตรงในขณะที่ไวรัสอื่น ไม่สามารถทำลายได้ 2. มันสามารถหลบเลี่ยงจากการถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันร่างกายได้ 3. มันสามารถเปลี่ยนแปลงผนังเปลือกนอกที่หุ้มตัวของมันเพื

สาระน่ารู้ สูตรสารธรรมชาติหรือ "Balancing Immunity -BIM "

รูปภาพ
สาระน่ารู้ สูตรสารธรรมชาติหรือ "Balancing Immunity -BIM "           หากใครเป็นมะเร็งระยะสุดท้า ยคงคิดว่าชีวิตนี้แทบไม่มีห วังไม่มีอะไรดีไปกว่าการใช้ เวลาที่เหลืออยู่กับการตั้ง รับความ "เจ็บป่วย" รวมถึง "ความตาย" ที่กำลังย่างกรายเข้ามาด้วย สติ ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์การแพ ทย์สมัยใหม่ สร้างทางเลือกแห่งความสุขใน การมีชีวิตอยู่อย่างมี "คุณภาพ" ให้กับผู้ป่วยมะเร็งได้สำเร ็จ ที่สำคัญคือเป็นเป็นทีม "นักวิจั ยไทย" และเป็นครั้งแรกของโลกกับกา รคิดค้นสูตรสารธรรมชาติจาก "มังคุด"โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาม ังคุดไทย และกรรมการผู้จัดการบมจ.เอเ ชี่ยน ไฟย์โตซูติคอลส์ บอกว่า "สูตรสารธรรมชาติ" หรือ "Balancing Immunity -BIM " เป็นผลงานความร่วมมือระหว่า ง ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไท ย บริษัทเอเชี่ยน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) กับศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวก ารแพทย์ และคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาล ัยเชียงใหม่ (มช) ได้นำเอาสารสกัด GM-1 จากเปลือกมังคุด ที่คณะนักวิจัยของมหาวิทยาล ัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ศึกษาไว้เมื

Operation BIM สำคัญต่อผู้ป่วยมะเร็งอย่างไร

รูปภาพ
Operation BIM สำคัญต่อผู้ป่วยมะเร็งอย่าง ไร ในตัวเรามีสิ่งที่ธรรมชาติส ร้างให้ที่สำคัญมากคือเม็ดเ ลือดขาว เม็ดเลือดขาวในตัวเราเนี่ยธ รรมชาติสร้างมาให้ดูแลตัวเร า ให้มีภูมิคุ้มกันที่ดี แล้วถ้าเรามีภูมิคุ้มกันที่ ดีร่างกายของเราก็จะแข็งแรง  เหมือนกับเราเกิดใหม่ ๆ เราไม่มีโรคร้ายทั้งหลายแหล ่เพราะภูมิคุ้มกันของเราดี เม็ดเลือดขาวเราดี แต่เมื่อมันมีปัญหาของเม็ดเ ลือดขาวขึ้นมาเมื่อไหร่เราก ็จะมีอากา รเจ็บไข้ได้ป่วย ขณะนี้ที่เรามีโรคเกิดขึ้นม าเนื่องจากว่าในร่างกายของเ ราไปรับพิษอะไรเข้ามา แล้วมันทำให้เซลล์ส่วนนั้นโ ตขึ้นมา ๆ เหมือนโดนกระตุ้นซึ่งเราหลา ย ๆ คนก็คงไม่รู้ เมื่อมันโตขึ้นมาแล้วก็จะไป เบียดเบียนเซลล์อื่น ๆ ข้าง ๆ ในที่สุดเราก็เจ็บ เราก็ปวด ทำให้เราทนไม่ได้ และเราก็มีปัญหาไป ผลิตภัณฑ์ Operation BIM ที่เราใช้กันอยู่มันเข้าไปท ำง่าย ๆ คือไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาว ไม่ใช่เข้าไปกัดกินเซลล์อื่ น ๆ ที่ดีของเรา ไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นพิษแล ้วส่งเข้าไปฆ่าพิษที่ทำให้เ ราเป็นอันตราย คือไม่ได้ถูกส่งเข้าไปฆ่าเซ ลล์มะเร็ง เรากินเพื่อกระตุ้นเม็ดเลือ ดขาวที่ร่างกายเรามีอยู่เยอ ะมาก 20,000 ล้านเม็ดถึง 50,