เอดส์...เรื่องที่ควรรู้

เชื้อเอดส์เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันอย่างไร ?
1. เชื้อไวรัส HIV เมื่อเข้าสู่ร่างกายคนเราจะไปเกาะที่ผิวเปลือกนอกของเซลเม็ดเลือดขาว ที่เรียกว่า T-lymphocytes (CD4)
2. หลังจากนั้นเชื้อจะแทรกตัวอยู่ในเม็ดเลือดขาว และจะใช้เอ็นไซม์พิเศษ เปลี่ยนแปลงยีนของมันให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยีนในเม็ดเลือดขาวของคน
3. จากนั้นมันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มันแฝงอยู่
4. ต่อมาจำนวนไวรัสเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มากจนทำให้เม็ดเลือดขาวที่มันอาศัยอยู่นั้น ถูกทำลายไป และ ไวรัสจะหลุดออกมา
5. จำนวนไวรัสที่หลุดออกมาก็จะไปโจมตี เซลล์เม็ดเลือดขาวอื่น ๆ อีกต่อไปโดยใช้ขบวนการเดียวกัน จนเม็ดเลือดในร่างกายของคนเราถูกทำลายลดลงเหลือน้อยจนถึงจุดวิกฤติไม่สามารถ ป้องกันร่างกาย ได ้ ทำให้ติดเชื้อโรคง่ายเกิดโรคซ้ำซ้อนและ กลายเป็นเอดส์ในที่สุด

เชื้อไวรัส HIV แตกต่างจากไวรัสอื่น ๆ อย่างไรบ้าง ?
1. เชื้อไวรัส HIV สามารถทำลายระบบภูมิต้านทานของมนุษย์โดยตรงในขณะที่ไวรัสอื่น ไม่สามารถทำลายได้

2. มันสามารถหลบเลี่ยงจากการถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันร่างกายได้
3. มันสามารถเปลี่ยนแปลงผนังเปลือกนอกที่หุ้มตัวของมันเพื่อต่อต้านการถูกทำลาย (โดยกลายพันธุ์) ได้เร็วกว่า ไวรัสอื่น 100-1000 เท่า
4. มันสามารถนำยีน RNA ของมันเข้าไปแฝงเปลี่ยนยีนของมันให้เป็นยีนของเม็ดเลือดขาวในตัวคนเราได้ (การแปลงกาย)


ทานยาต้านไวรัสมาประมาณเกือบ 2 ปี พบว่า ค่า CD4 ลดลงเรื่อยๆ ทำอย่างไร CD4 จึงจะเพิ่มขึ้น?
จากผลการวิจัยในโครงการ "การศึกษาผลของผลิตภัณฑ์ Operation BIM ต่อการกระตุ้นการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 Lymphocytes ในผู้ติดเชื้อ" โดย ศ.ดร.วัชระ กสิณฤกษ์ APCO Chair Professor และนพ.นพพร พรพัฒนพรพันธุ์ ผอ.รพ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ พบว่าผู้ติดเชื้อ HIV มี CD4 เพิ่มขึ้นหลังจากกิน LIV 4 แคปซูล/วัน หลังจากกินติดต่อกัน 60 วัน และที่บ้าน Gerda หลังผู้ติดเชื้อกิน LIV 4 แคปซูล/วัน ติดต่อกัน 12 เดือน พบว่าทุกคนมี CD4 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 67.34% อย่างไรก็ตามผู้มีปัญหาติดเชื้อ HIV ควรรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำจิตใจให้แจ่มใสจะเป็นผลดีต่อผู้ติดเชื้อและจะทำให้ CD4 เพิ่มได้ในที่สุด
ทานยาต้านไวรัสมาได้ระยะหนึ่งแล้วพบว่าหน้าตาดูแย่ลงมากเกิดจากอะไรแล้วพอจะมีคำแนะนำอย่างไรบ้าง?
อาการดังกล่าวข้างต้นเป็นผลข้างเคียงหนึ่งจากยาต้านไวรัสซึ่งจะแสดงออกในผู้ติดเชื้อแตกต่างกัน จากผลการวิจัยในโครงการ "การศึกษาผลของผลิตภัณฑ์ Operation BIM ต่อการกระตุ้นการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 Lymphocytes ในผู้ติดเชื้อ" พบว่าผู้ติดเชื้อที่ทดลองใช้ LIV ร่วมกับยาต้านไวรัสวันละ 4-9 แคปซูลสามารถลดผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัสและทำให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีลักษณะพิวพรรณที่ดูมีสุขภาพดีได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่สภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ติดเชื้อแต่ละราย
เริ่มทานยาต้านไวรัสสูตรแรกได้หนึ่งอาทิตย์ มีอาการผื่นขึ้นเหมือนยุงกัดเต็มตัว พอเปลี่ยนมาทานสูตรที่ 2 ได้ 2-3 วันผื่นลดลงแต่มีอาการมึนศรีษะอยากทราบว่าควรทำอย่างไร?
อาการผื่นขึ้นเหมือนยุงกัดหรือเป็นขึ้นผื่นเป็นปื้นอาจเป็นอาการจากการแพ้ยาต้านไวรัสควรปรึกษาแพทย์โดยทันทีเพื่อเปลี่ยนยาที่เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้หากพบอาการแพ้ยา เช่น มีไข้สูง, มีผื่นลมพิษ, เยื่อบุอ่อนบวมพอง (เยื่อบุตา เยื่อบุปาก), หายใจขัดหรือหอบ ควรพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาโดยทันที สำหรับอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศรีษะ เป็นผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัสที่พบได้โดยทั่วไปในกลุ่มผู้ใช้ยาต้านไวรัส และจากผลการศึกษาในผู้ติดเชื้อที่ได้ทดลองใช้ LIV ร่วมกับยาต้านไวรัส พบว่าสามารถลดผลข้างเคียงดังกล่าวได้เมื่อทานต่อเนื่อง และพบว่าผู้ติดเชื้อที่ทดลองใช้ LIV ร่วมกับยาต้านไวรัสมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (สามารถรับชมการสัมภาษณ์ผู้ที่ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ได้ในหน้าสื่อประชาสัมพันธ์ย้อนหลัง)
เริ่มรับยาต้านตั้งแต่ปี 2551 ตอนนี้ค่า CD4 321 อยากให้เพิ่มขึ้นมากกว่านี้ ควรทำอย่างไรขอคำแนะนำด้วย?จากผลการวิจัยในโครงการ "การศึกษาผลของผลิตภัณฑ์ Operation BIM ต่อการกระตุ้นการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 Lymphocytes ในผู้ติดเชื้อ" โดย ศ.ดร.วัชระ กสิณฤกษ์ APCO Chair Professor และนพ.นพพร พรพัฒนพรพันธุ์ ผอ.รพ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ พบว่าผู้ติดเชื้อ HIV มี CD4 เพิ่มขึ้นหลังจากกิน LIV 4 แคปซูล/วัน หลังจากกินติดต่อกัน 60 วัน และที่บ้าน Gerda หลังผู้ติดเชื้อกิน LIV 4 แคปซูล/วัน ติดต่อกัน 12 เดือน พบว่าทุกคนมี CD4 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 67.34% และในผู้ติดเชื้อที่ได้ยาต้านไวรัสแล้ว CD4 ไม่เพิ่มเลยต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน หลังให้ใช้ LIV 9 แคปซูล/วัน ร่วมกับยาต้านไวรัสติดต่อกัน 3 เดือน พบว่าทุกคนมี CD4 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 32.45% ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อควรปฎิบัติตนตามที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด
ทานยาต้านไวรัสวันที่สอง แล้วมีอาการเวียนศีรษะและอาเจียน อาการจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดหรือไม่ พอมีวิธีแก้ไขไหม?อาการต่างๆเช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด นอนไม่หลับ ฝันร้ายอาการดังกล่าวเป็นอาการข้างเคียงของยาต้านไวรัสที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่จะเป็นในช่วงแรกของการกินยาต้านไวรัสและส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2 เดือน ทั้งนี้จากผลการศึกษาในผู้ติดเชื้อที่ได้ทดลองใช้ LIV วันละ 4-9 แคปซูล ร่วมกับยาต้านไวรัส พบว่าสามารถลดผลข้างเคียงดังกล่าวได้เมื่อทานต่อเนื่อง และพบว่าผู้ติดเชื้อที่ทดลองใช้ LIV ร่วมกับยาต้านไวรัสมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ทำไมเลิกทานยาต้านไวรัสสูตรไขมันย้ายที่ไปนานแล้ว หน้าถึงไม่หายตอบ ช่วยให้คำแนะนำหน่อยอาการดังกล่าวเรียกว่าอาการไขมันกระจายตัวผิดปกติ(ลงพุง ไขมันพอกที่ต้นคอ หน้าอก แต่หน้าตอบและแขนขาลีบ)เป็นอาการข้างเคียงระยะยาวจากการใช้ยาต้านไวรัส มักเกิดขึ้นหลังจากกินยาต้านไวรัสไปนานๆ(3-4ปี)และอาจมีอาการอื่นด้วย เช่น น้ำตาลในเลือดสูง (อาการเบาหวาน:หิวน้ำบ่อย,ปัสสาวะบ่อย) จากการศึกษาในผู้ติดเชื้อที่ได้ทดลองใช้ LIV วันละ 4-9 แคปซูล ร่วมกับยาต้านไวรัส พบว่าพิวพรรณดูสดใสมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน (ท่านสามารถรับชมการสัมภาษณ์ผู้ที่ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ได้ในหน้าสื่อประชาสัมพันธ์ย้อนหลัง) อย่างไรก็ตามควรไปตรวจตามนัดของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามความผิดปกติอย่างใกล้ชิด และควรสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ และควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งเมื่อพบความผิดปกติ เช่น มีอาการชาบริเวณปลายมือปลายเท้า
เพิ่งทานยาต้านไวรัสได้เดือนกว่าๆ มีอาการผลข้างเคียงค่อนข้างมาก แพทย์บอกว่าสักพักอาการจะดีขึ้นให้อดทน ตอนนี้ค่า CD4 อยู่ที่ 215 ทำอย่างไรค่า CD4 จะสูงขึ้นครับ ตอนนี้อายุ 26 ปี รู้สึกสิ้นหวังเหลือเกิน กลัวจะมีชีวิตอยู่ไม่นานครับอาการ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด นอนไม่หลับ ฝันร้ายอาการดังกล่าวเป็นอาการข้างเคียงของยาต้านไวรัส ทางการแพทย์จัดว่าไม่รุนแรงคือเป็นอาการที่ไม่ทำให้เสียชีวิตแต่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่จะเป็นในช่วงแรกของการกินยาต้านไวรัสและส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2 เดือน และจากผลการศึกษาในผู้ติดเชื้อที่ได้ทดลองใช้ LIV วันละ 4-9 แคปซูล ร่วมกับยาต้านไวรัส พบว่าสามารถลดผลข้างเคียงดังกล่าวได้เมื่อทานต่อเนื่อง และพบว่าผู้ติดเชื้อที่ทดลองใช้ LIV ร่วมกับยาต้านไวรัสมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และในกลุ่มทดสอบที่บ้าน Gerda พบว่าหลังใช้ต่อเนื่อง 12 เดือน พบว่าทุกคนมี CD4 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 67.34% ทั้งนี้ตัวผู้ติดเชื้อเองควรปฎิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์และรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้สงบ ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ คุณภาพชีวิตก็จะควรจะดีขึ้นเรี่อยๆตามสมควร


ก่อนรับยาต้านไวรัส ค่า CD4 เท่ากับ 194 แต่ผิวพรรณปกติดีทุกอย่าง ไม่มีโรคแทรกซ้อน หลังรับยาต้านไวรัสมาได้ 6 เดือน พบว่ามีตุ่มดำๆ ขึ้นและมีอาการคันร่วมด้วย และเวลาโดนยุงกัดจะมีอาการคัน 2-3 วัน รอยดำก็อยู่นานมาก เลยอยากทราบว่าพอรับยาต้านไวรัสแล้วทำไมอาการแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น ตอนนี้กลุ้มใจมากๆ

ผู้ป่วยแต่ละรายอาจจะเกิดผลข้างเคียงได้ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน อาจเกิดอาการบางอย่างอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งอาการก็ได้ หรือบางทีก็ไม่เกิดผลข้างเคียงเลย อาการที่เกิดขึ้นเนื่องจากผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสเอดส์ที่พบได้บ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว และผื่นแดง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสส่วนมักปรากฏอาการให้เห็นอย่างชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาในรักษาอาการต่างๆ ที่เป็นผลข้างเคียง หรือปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนยาต้านไวรัสชนิดใหม่โดยผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสเอดส์แตกต่างกันไปในตัวยาแต่ละชนิด ทั้งนี้ในการศึกษาในผู้ติดเชื้อที่ได้ทดลองใช้ LIV วันละ 4-9 แคปซูล ร่วมกับยาต้านไวรัส พบว่าสามารถลดผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสได้เมื่อทานต่อเนื่อง และพบว่าผู้ติดเชื้อที่ทดลองใช้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และในกลุ่มทดสอบที่บ้าน Gerda พบว่าหลังใช้ต่อเนื่อง 12 เดือน พบว่าทุกคนมี CD4 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 67.34% ทั้งนี้ตัวผู้ติดเชื้อเองควรปฎิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์และรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้สงบ ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ คุณภาพชีวิตก็จะควรจะดีขึ้นเรี่อยๆตามสมควร

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.livcapsule.com


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปฏิบัติการสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุล Operation BIM

สาระน่ารู้ สูตรสารธรรมชาติหรือ "Balancing Immunity -BIM "

ระบบภูมิคุ้มกัน หรือ Immune system